ข่าวลิเวอร์พูล ทีมลิเวอร์พูล และเมือง ลิเวอร์พูล

ข่าวลิเวอร์พูล เมืองท่าเก่าเเก่ของอังกฤษ ที่แฟนๆหงส์แดงต่างใฝ่ฝัน อยากจะไปเยือนซักครั้ง

ข่าวลิเวอร์พูล เมืองลิเวอร์พูล (Liverpool) หลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อเมืองนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากเมืองนี้มีสไมสรฟุตบอลที่โด่งดังระดับโลกอย่างทีมสโมสรลิเวอร์พูล และนักร้องชื่อดังอย่างเดอะบีทเทิลล์เมืองนี้ลิเวอร์พูลตั้งอยู่ทางตะวันออกของปากน้ำเมอร์ซีย์ (Mersey Estuary) ลิเวอร์พูลก่อตั้งมาตั้งแต่ ค.ศ. 1207 และได้รับฐานะเป็น “นคร” ในปี ค.ศ. 1880

ความรุ่งเรืองของลิเวอร์พูลมาจากการเป็นเมืองท่าสำคัญความสะดวกในการติดต่อค้าขายประชากรของลิเวอร์พูลมีความแตกต่างกันทางเชื้อชาติ โดยเฉพาะจากไอร์แลนด์ เมืองลิเวอร์พูลมีความน่าสนใจหลายอย่างตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของเมือง สถานที่ท่องเที่ยวและแน่นอนที่สุดคือทีมสโมสรฟุตบอลซึ่งเราจะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงความเป็นมาของเมืองและทีมลิเวอร์พูล

ประวัติความเป็นมาของเมืองลิเวอร์พูล

ข่าวลิเวอร์พูลเมืองลิเวอร์พูล (Liverpool) ก่อตั้งมาตั้งแต่ ค.ศ. 1207 เมืองตั้งอยู่ทางตะวันออกของปากน้ำเมอร์ซีย์ (Mersey Estuary) ในปีค.ศ. 1880ได้รับฐานะเป็น “นคร” และเป็นเมืองเมโทรโพลิตันของเมอร์ซีย์ไซด์ในภาคการปกครองตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ ลิเวอร์พูลมีประชากรทั้งหมดประมาณ 435,500 คน

แต่ เมื่อรวมประชากรในปริมณฑลแล้วก็เป็น 816,216 คนในทางประวัติศาสตร์ของมณฑลเดิมลิเวอร์พูลเป็นส่วนหนึ่งของแลงคาสเชอร์ เมืองลิเวอร์พูลมีความรุ่งเรืองมาจากการเป็นเมืองท่าสำคัญ ทั้งด้านการติดต่อค้าขายกับแคริบเบียน, ไอร์แลนด์ และแผ่นดินใหญ่ยุโรป 

ซึ่งเมืองมีความสะดวกในการติดต่อ ข่าวบอล และการค้าขายในโลกต้องผ่านเมืองท่าลิเวอร์พูลซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นเมืองสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งของอังกฤษ การที่เป็นเมืองท่าทำให้ประชากรของลิเวอร์พูลมีความแตกต่างกันทางเชื้อชาติที่มาจากสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือชาวไอร์แลนด์ 

ในปีค.ศ. 2004 สถานที่ในเมืองหลายแห่งได้รับฐานะเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกที่เรียกว่าเมืองการค้าทางทะเลลิเวอร์พูล (Liverpool Maritime Mercantile City) ที่ประกอบด้วยบริเวณที่แยกกันหกบริเวณในตัวเมืองที่รวมทั้ง เพียร์เฮด (Pier Head) ท่าอัลเบิร์ตและถนนวิลเลียม บราวน์ และสถานที่ที่น่าสนใจของตัวเมืองอีกหลายแห่งเนื่องจากเมืองลักษณะของสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่และงดงามคู่ควรแก่การอนุกรักษ์

เมืองลิเวอร์พูลนอกจากในเรื่องของเมืองที่มีความสวยงาม แล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นความเป็นที่นิยม คือ   กลุ่มนักร้องเดอะบีทเทิลส์ ทำให้ลิเวอร์พูลเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเมืองลิเวอร์พูลก็ได้รับตำแหน่งเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรปร่วมกับเมืองสตาวังเงร์ในนอร์เวย์

สถานที่ของเมืองลิเวอร์พูล ถ้าไม่มาเยือนถือว่ามาไม่ถึง

  1. มหาวิหารลิเวอร์พูลและวิหารเมโทรโปลิทัน ออฟ ไครส์ เดอะ คิง สองสิ่งก่อสร้างที่สำคัญของเมืองที่นักท่องเที่ยวต่างไปชื่นชมความงดงาม มหาวิหารลิเวอร์พูลหนึ่งในมหาวิหารที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของอังกฤษ และยังเป็นโบสถ์ที่มีความยาวที่สุดในโลก ภายในตกแต่งสวยงามด้วยศิลปะในยุคศตวรรษที่ 18 วิหารเมโทรโปลิทัน ออฟ ไครส์ เดอะ คิง มีโดดเด่นด้วยหลังคาประดับกระจกสีลักษณะของวิหารที่แปลกตาไม่มีที่ใดเหมือน
  2. ท่าอัลเบิร์ต สถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่เป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมของเมืองที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจบริเวณนี้มีอาคารเก่าที่ก่อสร้างด้วยอิฐปูนแห่งแรกของอังกฤษในปีค.ศ. 1846 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก บริเวณนี้ยังมีสถานที่อื่นที่น่าสนใจ เช่น พิพิธภัณฑ์การค้าทาส พิพิธภัณฑ์การเดินเรือ และมีผับ The Pump House 
  3. เดอะบีเทิลส์ สตอรี อยู่ใกล้ๆ กับท่าอัลเบิร์ต เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอประวัติความเป็นมาและของที่ระลึกหายากของวงเดอะบีเทิลส์ 
  4. รูปปั้นนกลิเวอร์เบิร์ดที่อยู่บนตึก Royal Liver Building เพราะนกชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองลิเวอร์พูลมาอย่างยาวนาน
  5. สนามแอนฟิลด์และกูดิสันพาร์กสำหรับแฟนฟุตบอลของทีมลิเวอร์พูลและเอฟเวอร์ตัน สนามสองแห่งนี้เพียงสวนสาธารณะกั้น ในแต่ละปีดึงดูดแฟนบอลจากทั่วโลก ได้จำนวนมหาศาล 
  6. ควีนสแควร์ สำหรับใครที่ต้องการหาของฝากที่นี่รวมของฝากจากห้างร้านดังๆ มากมาย เมืองลิเวอร์พูลผ่านมากว่า 800 ปีของเมืองลิเวอร์พูลได้อย่างดีที่สุด

ประวัติสโมสรลิเวอร์พูล

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพตั้งอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูลประเทศ อังกฤษ ก่อตั้งในปีค.ศ. 1892  ลิเวอร์พูลใช้สนามแอนฟีลด์ ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ช่วงเวลา ข่าวลิเวอร์พูล ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือช่วงทศวรรษที่ 1970 ถึง  ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลกอันดับที่ 9 เมื่อปี 2016–17

ด้วยรายได้ประจำปี 424.2 ล้านยูโร และสโมสรฟุตบอลที่มูลค่ามากที่สุดในโลกอันดับที่ 8 เมื่อปี 2018 ด้วยมูลค่า 1.944 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ข่าวฟุตบอล เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดในโลก ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรคู่แข่งกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน

สโมสรได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมที่สำคัญ 2ครั้ง ครั้งแรกที่โศกนาฏกรรมเฮย์เซลเมื่อปีค.ศ. 1985 แฟนฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันส่งผลให้อัฒจันทร์พังลงมา มีผู้เสียชีวิต 39 คน เป็นแฟนบอลยูเวนตุสชาวอิตาลี 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน, และไอร์แลนด์ 1 คน

และส่งผลให้ลิเวอร์พูลถูกสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปแบนเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในปีค.ศ. 1989 เกิดโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร แฟนบอลของลิเวอร์พูล 96 คนเสียชีวิต เนื่องจากมีคนแออัดเข้ามาชมเกมมากเกินความจุจึงทำให้อัฒจันทร์ยืนได้พังลงมา

ลิเวอร์พูลนั้นใช้เสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นชุดแข่งขันมาตั้งแต่ค.ศ. 1896 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้าในปีค.ศ. 1964 ฉายาในภาษาอังกฤษของลิเวอร์พูลคือ “The Reds” ในภาษาไทยคือ “หงส์แดง” มีเพลงประจำสโมสรคือ “You’ll Never Walk Alone”

ทศวรรษที่ 1970 ถึง 1980 สโมสรลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จอย่างมาก เมื่อ บิลล์ แชงคลี, บ๊อบ เพสลีย์, โจ เฟแกน และ เคนนี แดลกลีช พาทีมคว้าแชมป์ลีก 11ครั้ง และคว้าถ้วยรางวัลยูโรเปียน 4 ใบ และต่อมา ภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ และกัปตัน สตีเวน เจอร์ราร์ด ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนลีกสมัยที่ 5 เมื่อปีค.ศ. 2005 และสมัยที่ 6 ภายใต้การคุมทีมของ เยือร์เกิน คล็อพ เมื่อปีค.ศ. 2019

ลิเวอร์พูลแข่งขันอยู่ในพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของอังกฤษ โดยลิเวอร์พูลชนะเลิศ ยูโรเปียนคัพ 6ครั้ง, ยูฟ่าคัพ 3ครั้ง, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 4ครั้ง, ลีกสูงสุด 18ครั้ง, เอฟเอคัพ 7ครั้ง, ลีกคัพ 8ครั้ง, เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 15ครั้ง และ ฟุตบอลลีกซูเปอร์คัพ 1 ครั้ง

ข่าวลิเวอร์พูล

ตราสัญลักษณ์ของทีมลิเวอร์พูล

สโมสรลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ของทีมทั้งหมด 6 ครั้งปัจจุบันนี้สโมสรใช่สัญลักษณ์ทั้งหมด 2 แบบ

ปี 1950- 55 สัญลักษณ์ลิเวอร์เบิร์ดยืนสง่างาม อยู่ตรงกลางล้อมกรอบด้วยโล่สีแดง ปักลงบนเสื้อชุดทีมเยือน สีขาว

ปี 1955 – 68 ลิเวอร์เบิร์ดสีแดง โดดเด่นบนพื้นสีขาวในกรอบรูปไข่ มีการเพิ่มตัวอักษรย่อสโมสร “L.F.C” อยู่ข้างใต้ลงไป และตราสัญลักษณ์แบบนี้ ก็ถูกใช้ยาวนานถึง 14 ปี

ปี 1968 – 87 นกลิเวอร์เบิร์ด ได้ออกจากกรอบรูปไข่ ยืนสง่างามบนตัวย่อชื่อสโมสร บนเสื้อทีมแบบเดี่ยวๆตราสัญลักษณ์สโมสรครั้งนี้ยืนยาวมากกว่า 2 ทศวรรษ

ปี 1987 – 92 ลิเวอร์เบิร์ด อยู่ตรงกลางของโล่ด้วยการตัดอักษรย่อ ‘L.F.C’ ที่อยู่ข้างใต้ออก พร้อมทั้งใส่ชื่อทีมตัวเต็มเข้าไปแทนที

ปี 1992 สัญลักษณ์ของลิเวอร์เบิร์ดสีเหลือง ถูกนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง ตัวแทนของความสำเร็จในช่วงปลายยุค 70 ถึงยุค 80 ได้ถูกนำกลับมาอีกครั้ง บนอกเสื้อของชุดแข่ง ปีค.ศ.1992 เพื่อเป็นเกียรติในการฉลองครบ 100 ปี ของทีม

ปี 1993-99 ตราในยุคปัจจุบันนั้นมี 2 แบบ คือตราที่เริ่มใช้ตอนปีค.ศ.1999 ซึ่งยังคงรูปแบบของเก่าเอาไว้ มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของรายละเอียดของสีและสัญลักษณ์ ของนกลิเวอร์เบริด์ ที่ออกจากโล่เล็ก ๆ ให้ใหญ่ขึ้นและอีกตราหนึ่ง ก็คือตราสัญลักษณ์ที่คล้ายกับปีค.ศ. 1968 ซึ่งใช้เพียงลิเวอร์เบริด์ยืนสง่างาม พร้อมตัวย่อของสโมสร “L.F.C” ที่เปลี่ยนไปเพียงเท่านั้น ทั้ง 2 ตราสัญลักษณ์นี้ยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน

ที่มาชุดแข่งของลิเวอร์พูล

นอกจากนักเตะที่น่าสนใจแล้วอีกอย่างหนึ่งที่ทำรายได้ให้สโมสรและได้รับความสนใจจากแฟนบอลไม่น้อยนั่นก็คือเสื้อทีมฟุตบอลนั่นเอง เริ่มแรกสโมสรลิเวอร์พูลสวมชุดแข่งสีน้ำเงินและขาวก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมาใช้ชุดสีแดงและกางเกงสีขาวในปีค.ศ.1896 และใช้มาจนถึงปีค.ศ. 1964 บิลล์ แชงค์ลีย์ ส่งทีมลิเวอร์พูลลงแข่งกับอันเดอร์เลชต์ และสวมชุดแข่งลายทางสีแดงทั้งชุดเป็นครั้งแรก

ปีค.ศ. 1979ทำสัญญากับบริษัท ฮิตาชิ บ.ชื่อดัง จากประเทศญี่ปุ่นสโมสรลิเวอร์พูลก็ได้รับการสนับสนุน จากสปอนเซอร์มากมายที่เปลี่ยนกันเข้ามาจับมือทำสัญญากับสโมสร Crown Paints , Candy ,ในปีค.ศ. 1992 เบียร์คาร์ลสเบิร์ก เป็นสัญญาสปอนเซอร์ที่ยาวนานที่สุด และ2010-11 ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ กลายเป็นสปอนเซอร์ของสโมสรจนถึงปัจจุบัน  

ประวัติสนามแอนฟิลด์

ข่าวลิเวอร์พูล

สนามฟุตบอลแอนฟีลด์สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1884 ติดกับแสตนลีย์ ปาร์ค เริ่มแรกเป็นสนามเหย้า ของสโมสร ฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ก่อนที่เอฟเวอร์ตัน ย้ายสนามไปกูดิสันพาร์ค หลังจากขัดแย้งในเรื่องค่าเช่า พื้นที่สนามกับจอห์น โฮลดิง ผู้เป็นเจ้าของแอนฟีลด์

หลังจากนั้นโฮลดิ้ง ได้ก่อตั้งสโมรสร ลิเวอร์พูลขึ้นเมื่อปี 1892 และแอนด์ฟีลด์จึงกลายเป็นสนามเหย้าของลิเวอร์พูลนับแต่นั้นมา ในขณะนั้นมีความจุของสนามทั้งสิ้น 20,000 คน ถึงแม้จะมีเพียงผู้ชม 100 คนเข้าชมการแข่งขันครั้งแรกของลิเวอร์พูลที่แอนฟีลด์

ในปี1906 อัฒจันทร์ฝั่งยืน ที่อยู่ปลายด้านหนึ่ง ของพื้นดินถูกเปลี่ยนชื่อ อย่างเป็นทางการ ซึ่งคนท้องถิ่นจะรู้จักกันในนาม สปิออน ค็อป หลังจากที่เนินเขาแห่งหนึ่งใน นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเกิดเหตุการณ์การทำสงครามบัวร์ขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1900 อังกฤษได้ส่งทหารไปกว่า 300 นาย

โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล เมื่อถึงจุดสูงสุดอัฒจันทร์สามารถบรรจุผู้ชมได้ถึง 28,000 คน และเป็นอัฒจันทร์ยืนชั้นเดียวที่หญ่ที่สุดในโลก สนามกีฬาหลายแห่งในประเทศอังกฤษได้จึงตั้งชื่อ สปิออน ค็อป เป็นชื่อของอัฒจันทร์ แต่แอนฟีลด์เป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้น ซึ่งสามารถบรรจุผู้สนับสนุนได้มากกว่าพื้นที่สนามฟุตบอลทั้งหมด

แอนฟีลด์สามารถรองรับผู้สนับสนุนได้สูงสุดกว่า 60,000 คนและมีความจุ 55,000 ที่นั่ง จนกระทั่งทศวรรษ 1990 เทเลอร์ รีพอร์ต รายงานเหตุการณ์การถล่มของอัฒจันทร์ที่สนามฮิลส์โบโร่ พรีเมียร์ลีกจึงมีคำสั่งให้ทุกสนามเปลี่ยนจากอัฒจันทร์ยืนเป็นแบบนั่งทั้งหมดในฤดูกาล 1993-94 ลดความจุลงเหลือ 45,276 ที่นั่ง

จากผลการวิจัยของเทอลร์ รีพอร์ต ได้ผลักดันให้มีการสร้างอัฒจันทร์ใหม่ทางด้าน Kemlyn Road Standในปีค.ศ. 1992 ซึ่งตรงกับการครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งสโมสร จึงตั้งชื่อว่า เซนเทเนรีสแตนด์ เป็นชั้นพิเศษที่ถูกเพิ่มในฝั่งถนนแอนฟีลด์ปลายปีค.ศ. 1998

ซึ่งต่อไปจะเพิ่มความจุของภาคพื้นดิน แต่เกิดปัญหาขึ้น หลังจากการเปิดใช้ ชุดของเสาสนับสนุน และตอม่อ ถูกเสริมเข้าไปเพื่อสร้างความมั่งคง ให้กับชั้นบนสุด ของอัฒจันทร์ หลังจากการเคลื่อนไหวของชั้นอัฒจันทร์ได้ถูกรายงานช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 1999-2000

เนื่องจากข้อจำกัดในการขยายความจุที่นั่งของแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลได้ประกาศแผนเสนอให้ย้ายไปสนามแสตนลีย์ พาร์ค เมื่อเดือนพฤษภาคมค.ศ. 2002 แผนนี้ถูกอนุมัติในเดือนกรกฎาคมค.ศ. 2004และในเดือนกันยายนค.ศ. 2006 สภาเมืองลิเวอร์พูลได้อนุมัติสัญญาเช่า 999 ปี บ้านผลบอล

ทำให้ลิเวอร์พูล ได้รับอนุญาตให้สร้างสนามแห่งใหม่ ใกล้สแตนลีย์พาร์ก ภายหลังจากการซื้อสโมสรโดยจอร์จ จิลเลตต์ และทอม ฮิคส์ ในเดือนกรกฎาคมค.ศ. 2007 สโมสรได้นำเสนอแผนใหม่ ที่ออกแบบและเสนอโดยบริษัท HKS เมืองดัลลัส สหรัฐอเมริกา โดยปรับความจุเป็น 76,000 ที่นั่ง มูลค่าการลงทุน 300 ล้านปอนด์ ต่อมาเดือนสิงหาคมค.ศ. 2008 เนื่องจากมูลค่าเหล็กกล้าในตลาดระหว่างประเทศสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการลงทุนต้องเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านปอนด์ ฮิคส์และจิลเล็ตต์จึงตัดสินใจยุติการสร้าง 

https://www.catedraunesco-uma.org/